ทำไมอธิษฐานจิตจึงไม่ค่อยได้ผล

ข้อเขียนด้านล่างเป็นสิ่งที่ผมได้รวบรวมจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการไม่ประสบความสำเร็จในการอธิษฐานจิต ขอเพื่อนๆอย่าได้ถือเป็นตำราอ้างอิงนะครับ แค่เป็นสิ่งที่เปิดประเด็นไว้ให้พวกเราได้สนทนาแลกปลียนธรรมทานกัน ความดีทั้งหมดที่จะพึงมีจากข้อเขียนนี้ขอให้เป็นความดีของครูบาอาจารย์ รวมทั้งท่านอาจารย์ไก่ที่ท่านเมตตาให้ความรู้กับพวกเราด้านอธิษฐานบารมีเสมอๆ ส่วนความไม่ดีทั้งหลายของข้อเขียนนี้กระผมขอรับไว้ผู้เดียว
……โดย Tonsawet หมื่น

ทำไมจึงอธิษฐานจิตไม่ประสบผล

คนเรามักจะชอบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องใหญ่แต่ขาดกำลังใจและกำลังบุญที่เป็นต้นทุนของตนเองในการอธิษฐานซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้การอธิษฐานเพื่อขอวามสำเร็จในเรื่องราวต่างๆของชีวิตบังเกิดผลคนแต่ละคนจึงได้รับความสำเร็จจากการอธิษฐานจิตขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เท่ากันเพราะมีต้นทุนกำลังใจ

และบุญไม่เท่ากันเป็นเหตุหลัก ตลอดจนมีปัจจัยอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบไม่บริบุรณ์ เมื่ออธิษฐานไม่ประสบผลก็มักจะโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่สุดก็เป็นเหตุทำให้ชีวิตตนเองเกิดอัปมงคลตกต่ำลงทุกวัน ที่สุดแล้ว ให้เข้าใจไว้ว่า ไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม จึงจำต้องเผื่อใจไว้เสมอ อย่าโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่สำเร็จไม่ใช่ท่านไม่อยากช่วย แต่มันเกินวิสัยที่ท่านจะช่วยได้เพระกรรมเราหนักไป 

    ปัจจัยที่ทำให้การอธิษฐานประสบผล

    1. กำลังบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    บางคนไปอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีกำลังเท่าที่ควรกับเรื่องที่ขอ เช่นเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆหรือเทวดาท่านที่มีกำลังน้อย ท่านจึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอได้ดีเท่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านนั้นๆที่เราขอ เช่นพระสีวลี ที่ท่านเป็นเลิศในด้านลาภผล อย่างไรก็ตามท่านทั้งหลายพึงทราบว่า สิ่งที่มีกำลังสูงสุดในโลกไตรภพนี้ ไม่มีใดเกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้พระท่านป็นประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆของเราไว้เสมอ แล้วค่อยขอบารมีเทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลพิภพที่มีกรรมเนื่องกันกับเรา มีบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามาขอพรกับท่านเป็นที่สุด(ให้เกียรติท่าน)

2. ลักษณะของเรื่องที่ขอ ช่วงเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล และ กำหนดเวลาที่ขอผล

    บางคนไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รวยเป็นเศรษฐีภายในชั่วข้ามคืน ในขณะที่ชีวิตกำลังตกต่ำจากอกุศลกรรมที่ให้ผลอยู่ จึงเป็นการยากที่จะสำเร็จ เพราะช่วงดวงตกเกิดขึ้นแล้ว และต้องอาศัยต้นทุนที่สูงเกินกว่าที่ผู้ขอจะหาได้ จึงเป็นการฉลาดกว่าที่จะขอสิ่งที่ง่ายและเป็นไปได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยขอในช่วงที่เราดวงกำลังขึ้นอยู่ เช่น เช้าขึ้นมา ขอพรให้มีความคล่องตัวในการค้าขายประจำวันนี้ จะเกิดผลได้ง่ายกว่า

3. ทำตัวเป็นผู้ให้ก่อนจะขอ และสร้างเหตุความดีให้ตรงกับเรื่องที่ขอ

บางคนอยากขอผลด้านวัตถุแต่ไม่ได้ถวายวัตถุทานไว้และอีกทั้งไม่ได้อุทิศบุญที่ได้ทำวัตถุทานนั้นๆให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก่อน กรณีนี้แม้ว่าท่านอยากจะช่วย ก็ช่วยลำบาก เพราะไม่มีข้ออ้างที่จะช่วยเราและไม่ได้มีต้นทุนที่ตรงกับเรื่องที่จะขอ จำไว้ว่า เหตุที่สร้างและผลที่ขอ ต้องสมดุลกันเสมอ อีกทั้งผู้ที่ขอผลด้านความเจริญด้านใดก็ตาม ก็ต้องขยันขวนขวาย ทำปัจจุบันธรรมให้ดีในเรื่องนั้นๆด้วย เช่นมีอิทธิบาทสี่ในงานหรือเรื่องที่ขอ

    4. ระดับความบริสุทธิ์ของกำลังใจและกำลังบุญของผู้ขอขณะที่อธิษฐาน

    กำลังใจความดีของแต่ละคนที่ขอพรจะไม่เท่ากัน ปุถุชนคนใจหนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมไม่สามารถอธิษฐานขอผลได้ดีเท่าพระอริยเจ้า ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้เทียบเคียงพระอริยเจ้า แม้ว่าจะไม่ทรงตัวได้นานแต่ทำได้ขณะที่ทำการขอพรก็จะดีมาก กำลังใจที่จะเทียบเคียงพระอริยเจ้าได้ ต้องเป็นกำลังใจในด้านบารมี 10 ประการที่อยู่ในขั้นปรมัตถบารมีครบถ้วน

    ทานบารมี: ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน และให้ทานแบบตัดชีวิตคือ อธิษฐานยอมมอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธเจ้าด้วย

    ศีลบารมี: ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว

    เนกขัมมะบารมี+เมตตาบารมี: ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ

    แล้วอุทิศผลบุญกุศลที่เคยทำไว้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันให้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพ พรหมเทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ตลอดจน(ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์)ได้โมทนาและเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของเราในครั้งนี้ด้วย และขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของเรา ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ได้มาโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วย เมื่อโมทนาแล้ว ขอจงอโหสิกรรมให้เราด้วยนับแต่บัดนี้ไป จนกว่าเราจะเข้าพระนิพพาน

    ปัญญาบารมี: ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อเพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

    – คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)

    – คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)

    – คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพตปรามาส)

    วิริยะบารมี: ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี

    ขันติบารมี: ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี

    สัจจะบารมี: ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด

   อธิษฐานบารมี+อุเบกขาบารมี: ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพานจุดเดียว แต่ถ้ายังมีลมปราณอยู่เพียงใด

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บารมีเทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดที่มีกรรมเนื่องกับเรา มีบารมีของ (ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์) เป็นที่สุดและอำนาจแห่งบุญในทาน ศีล ภาวนา ทั้งหมดทั้งมวล ที่เราเคยสะสมไว้ดีแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติแรก สืบๆมาทุกชาติจนถึงปัจจุบันขณะจิตนี้ หากไม่เกินวิสัยจงบันดาลให้(เรื่องที่จะอธิษฐาน) มีผลโดยเร็ว(ตามเวลาที่เราต้องการ)

    5. กำลังของฤกษ์ยามที่หนุนช่วย

    การอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่กระแสโลกหนุนช่วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย ขอแนะนำให้ใช้ตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์

ที่มา : คัดลอกจาก “ทำไมการอธิษฐานจิตจึงไม่ค่อยประสบผล” โดย tonsawet หมื่น

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *