หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโลวัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

กายเรานี้เป็นแต่เพียงธาตุสี่ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ผู้ปฎิบัติยึดหลักอันนี้ภาวนาบ่อยๆ พิจารณาให้มากๆ พิจารณาย้อนกลับไปกลับมา จิตจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ภูมิรู้ ภูมิธรรม เป็นลำดับๆ ไป

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

พระอาจารย์เสาร์ ฉายา กันตสีโล เกิด ณวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๐๒ ที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากท่านเป็น พระวิปัสสนาธุระ รุ่นแรกก่อนที่จะมีการบันทึกจดจำประวัติของท่านได้โดยละเอียดถี่ถ้วน จึงทำให้ทราบแต่เพียงชีวประวัติย่อเท่านั้น

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม

ภายหลังที่หลวงปู่เสาร์ ท่านสละเพศฆราวาสแล้ว ท่านอุปสมบทอบู่ที่วัดใต้จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเป็นพระธรรมยุต ที่วัดศรีทอง มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌายะ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในสมาธิวิปัสสนา และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย จึงเป็นผู้ใส่ใจในธุดงค์วัตร หนักในพระธรรมวินัย ชอบวิเวก และไม่ติดถิ่นที่อยู่ และท่านได้รับความสงบใจในการปฏิบัติเป็นอย่างมาก เพราะการปฏิบัติสมาธิเป็นชื่อแห่งความเพียรเป็นข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งไม่มีข้อปฏิบัติอื่นดียิ่งไปกว่าหลวงปู่เสาร์ กน.ตสี.โล มีความรู้ความเข้าใจขึ้นโดยลำดับแห่งองค์ภาวนา ต่อมาท่านมีความปรารภขึ้นว่า การที่ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่นี้ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ทางที่ดีควรออกไปอยู่ป่าดงหาสถานที่สงบจากผู้คนจิตใจคงจะสงบลงกว่าเป็นแน่แท้ ดังนั้นท่านได้ออกธุดงค์มุ่งสู่ป่าทันทีในวันรุ่งขึ้น ความปราถนาของท่านก็เพื่อภาวนา และพิจารณาสมาธิธรรม ถ้าแม้นเป็นไปจริงดังคำตั้งใจแล้ว เมื่อกลับเข้าสู่วัดท่านจะนำความรู้ที่เกิดจากจิตใจเหล่านั้นมาเผยแพร่ฝึกสอนศิษย์ที่หวังซึ่งความพ้นทุกข์ต่อไป ภายหลังจากหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ไปอยู่ป่าดงฝึกจิตใจเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา จำพรรษาในท่ามกลวงสิงสาราสัตว์ในหุบเขาถ้ำลึกเป็นเวลาอันสมควรท่านจึงได้ออกมาเปิดสำนักปฏิบัติธรรมใน วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยก่อนนั้น มีพระสงฆ์และฆราวาสที่สนใจกันอย่างจริงจังไม่มากนัก ถึงกระนั้นท่านก็มิได้ลดละพยายาม ท่านตั้งอกตั้งใจในการสอนอบรมผู้สนใจในธรรมให้เกิดความรู้แจ้งแก่ผู้ปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักยืนยันว่าการเจริญศีล สมาธิ ปัญญานี้ เป็นความสงบและสามารถทำตนให้พ้นทุกข์ได้จริง  ดังคำพระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต แสดงที่วัดถ้ำกลองเพลเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2532 เรื่อง “ ปฏิปทาของพระกรรมฐาน “ ตอนหนึ่งว่า…หลวงปู่เสาร์ เป็นบูรพาจารย์ของพระกรรมฐานทั้งหลาย ในภาคอีสาน แต่ก่อนพระกรรมฐานไม่ได้มีมากมายเหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้ เพราะว่าไม่มีใครไปศึกษาและนำไปประพฤติปฏิบัติไม่มีใครหอบเอาความรู้จากพระไตรปิฎกมาสอนคน โดยมากสมัยก่อนเทศน์ไปตามหนังสือให้โยมฟัง พออ่านเสร็จโยมก็สาธุ นึกว่าได้บุญแล้ว และก็พากันกลับบ้าน บางวันเทศน์เรื่องพระโพธิสัตว์ใช้ชาติ เช่น สัญชัย ท้าวก่ำกาดำ เรื่องมโหสถ ฯลฯ ไม่ให้เอาธรรมะเข้ามาสอนใจของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นหลวงปู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี้ ท่านเอาแต่ประพฤติปฏิบัติ รู้ธรรมแจ้งมาสอนพวกเรา…

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านเจริญพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ ถ้าจะเรียกให้สมกับจริยาวัตรของท่านแล้ว จะกล่าวได้ว่า… ท่านบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ล้นเปี่ยมตามคุณธรรม ท่านเจริญเดินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทุกประการ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา นำคณะศรัทธาทั้งหลายให้ได้เจริญ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้รู้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัณหา ที่เข้ามารบกวนรบเร้าจิตใจให้เตลิดไปต่างๆ เพราะท่านมีความเมตตาอันสูงสุดนี้ ท่านได้พยายามรวบรวมเขียนหนังสือไว้ชื่อว่า จตุราลักษณ์ จตุราลักษณ์ เป็นหนังสือที่หลวงปู่เสาร์ กน.ตสี.โล ได้แสดงแต่งไว้สรุปได้ดังนี้

ให้มนุษย์เราทุกคน รู้จักระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คือให้เจริญ พุทธานุสติ

ให้มนุษย์เราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วเข้าใจตนเองว่านับถือพระพุทธศาสนาแล้ว จงให้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นอนุสติ

ให้มนุษย์เราทุกคน จงรู้ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว จงรู้กฎของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้ คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงให้รู้ถึงความไม่เที่ยง มีความทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเราเขา ฉะนั้นจงเจริญ อสุภานุสติ

ให้มนุษย์เราทุกคน จงพิจารณากองทุกข์ นับตั้งแต่ เกิดมาจนวาระสุดท้ายคือความตายเพราะทุกคนหนีความตายไปไม่ได้ จงให้เจริญ มรณานุสติ

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ได้พยายามเน้นให้ทุกคนเปิดจิตเปิดใจมองดูตัวเราเองให้กว้างขวางออกไป และได้ปลูกฝังศรัทธาแห่งความเชื่อในเหตุผล ที่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเจริญมาแล้ว จนสามารถสำเร็จผลหนทางแห่งความดีในที่สุดได้อย่างจริงแท้แน่นอน

การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ

เราถือว่าพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล เป็นพระอาจารย์องค์แรกและเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหา ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ชอบพักพิงอยู่ตามป่าตามที่วิเวก อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง พักพิงอาศัยอยู่ในราวป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ เมตร การธุดงค์ของท่านจะไม่นิยมที่จะไปปักกลดอยู่ตามละแวกบ้าน ตามสนามหญ้า หรือตามบริเวณโรงเรียน หรือใกล้ๆ กับถนนหนทางในที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน ท่านจะออกแสวงหาวิเวกในราวป่าห่างไกลกันจริง ๆ บางทีไปอยู่ในป่าเขาที่ไกล ตื่นเช้าเดินจากที่พักลงมาสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว กลับไปถึงที่พักเป็นเวลา ๑๑.๐๐ น. หรือ ๕ โมงก็มี 

ปฏิปทา

ท่านจะสอนให้ลูกศิษย์หัดนอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ในขณะที่ยังไม่ได้นอนหรือตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำกิจวัตร มีการสวดมนต์ ไหว้พระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อันนี้เป็นการฝึกหัดดัดนิสัยให้มีระเบียบ นอนก็มีระเบียบ ตื่นก็มีระเบียบ การฉันก็ต้องมีระเบียบ คือฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร บิณฑบาตฉันเป็นวัตร อันนี้เป็นข้อวัตรที่ท่านถือเคร่งนัก

ธรรมโอวาท

จากหนังสือ ธรรมวิสัขนา เรื่องแนวปฏิบัติของท่านพระอาจารย์เสาร์ กน.ตสี.โล ดังนี้

โดยหลักการที่ ท่านอาจารย์เสาร์ ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามานั้น ยึดหลักการบริกรรมภาวนา พุทโธ และอานาปานสติ เป็นหลักปฏิบัติ

การบริกรรมภาวนา ให้จิตอยู ณ จุดเดียว คือ พุทโธ ซึ่ง พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิต เมื่อจิตมาจดจ้องอยู่ที่คำว่า พุทโธ ให้พิจารณาตามองค์ ฌาน 5

คือ การนึกถึง พุทโธ เรียกว่า วิตก จิตอยู่กับ พุทโธ ไม่พรากจากไปเรียกว่า วิจารณ์

หลังจากนี้ ปิติ และ ความสุข ก็เกิดขึ้น เมื่อ ปิติและความสุขเกิดขึ้นแล้ว จิตของผู้ภาวนาย่อมดำเนินสู่ความสงบ เข้าไปสู่ อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ

ลักษณะที่จิตเข้าสู่อัปนนาสมาธิ ภาวะจิตเป็นภาวะสงบนิ่ง สว่าง ไม่มีกิริยาอาการแสดงความรู้ ในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในสมถะ

ถ้าจะเรียกโดยจิตก็เรียกว่า อัปนนาจิต

ถ้าเรียกโดยสมาธิเรียกว่า อัปปนาสมาธิ

ถ้าเรียกโดยฌานก็เรียกว่า อัปปนาฌาน

บางท่านนำไปเทียบกับฌานขั้นที่ 5

จิตในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในอัปปนาจิต อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน จิตย่อมไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น นอกจากมีสภาวะรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อนักปฏิบัติผู้ที่ยังไม่ได้ระดับจิต เมื่อจิตติดอยู่ในความสงบนิ่งเช่นนี้ จิตย่อมไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์เสาร์ ผู้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานในสายนี้ จึงไดเดินอุบายสอนให้ลูกศิษย์พิจารณา กายคตาสติ เรียกว่ากายคตาปฏิปทา โดยการพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น โดยน้อมนึกไปในลักษณะความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด เป็นของโสโครก จนกระทั่งจิตมีความสงบลง รู้ยิ่งเห็นจริงตามที่ได้พิจารณา เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่งปฏิกูล ในที่สุดได้เห็นจริงในสิ่งนั้นว่าเป็นของปฏิกูล โดยปราศจากเจตนาสัญญาแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกจริงๆ โดยปราศจากสัญญาเจตนาใดๆทั้งสิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาเห็น อสุภกรรมฐาน และเมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาอสุภกรรมฐานจนชำนิชำนาญ จนรู้ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานนั้นแล้ว ในขั้นต่อไปท่านอาจารย์เสาร์ได้แนะนำให้พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธาตุ 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนกระทั่งเห็นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อจิตรู้ว่าเป็นแต่เพียงสักแต่ว่าธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ จิตก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ตามที่พูดกันว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มี มีแต่ความประชุมพร้อมของธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น เมื่อเป็นเข่นนั้น จิตก็ย่อมรู้จักอำนาจของความคิดขึ้นมาได้ว่า ในตัวของเรานี้ไม่มีอะไรอัตตา ทั้งสิ้น มีแต่ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น ถ้าหากภูมิจิตของผู้ปฏิบัติจะมองเห็นแต่เพียงกายทั้งหมดนี้ เป็นแต่เพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้แต่เพียงว่าเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ และภูมิจิตของท่านอยู่แค่นั้น ก็มีความรู้เพียงแค่ขั้น สมถกรรมฐาน และในขณะเดียวกันนั้น ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติปฏิบัติความรู้ไปสู่ พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ถ้าหากมีอนิจจสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง ทุกขสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ภูมิจิตของผู้ปฏิบัตินั้นก็ก้าวเข้าสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา เมื่อผู้ปฏิบัติมาฝึกฝนอบรมจิตของตนเองให้มีความรู้ด้วยอุบายต่างๆ และมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะของอสุภกรรมฐานโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จนมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะที่ว่า กายเรานี้เป็นแต่เพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มีความเห็นว่า ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เป็นแต่เพียงธาตุ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ด้วยอุบายดังกล่าวแล้ว ผู้ปฏิบัติยึดหลักอันนั้น ภาวนาบ่อยๆ กระทำให้มากๆ พิจารณาให้มากๆ พิจารณาย้อนกลับไปกลับมาจิตจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ภูมิรู้ ภูมิธรรม เป็นลำดับๆ ไป หลักการปฏิบัติของท่านอาจารย์เสาร์ก็มีดังนี้

มัจฉิมบท

นอกจากหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล จะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีแล้ว ท่านยังมีความเคร่งครัดทางด้านพระวินัยอย่างมาก ลูกศิษย์ทุกคนสมัยนั้น ท่านจะถือเอาวัตรปฏิบัติวิปัสสนาเป็นวิชาเอก คือหมายถึงว่า เมื่อท่านได้อบรมแล้วแสดงพระสัทธรรมให้เป็นที่เข้าใจแล้วท่านจะส่งเสริมลูกศิษย์ทุกรูปให้ถือข้อธุดงควัตร แยกออกจากหมู่มุ่งสู่ราวป่าดง มุ่งสู่ความแจ่มแจ้ง ในธรรมที่องค์พระบรมศาสดาทรงรับรองผล หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านได้มรณภาพในอิริยาบถขณะกราบครั้งที่ ๓ ในอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากรณ์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว คืนวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เชิญศพมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ทำพิธีเผาศพในเดือนเมษายน ๒๔๘๖ สิริอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *